ฉันเปิดบริษัทแล้วนะ,ฉันมีบริษัทเป็นของตนเองแล้ว"
แหม!!! นี่ก็เป็นคำพูดที่คนเปิดบริษัทแล้วมาพูดให้เราฟัง ทำให้หลายๆคนก็คิดอยากจะเปิดบริษัท กะเขาบ้าง แต่ก็ไม่รู้ขั้นตอนของกฎหมายหรือระเบียบต่างๆ เลยว่า จะเป็นอย่างไรบ้าง หรือท่านไม่อยากรับรู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ใช้บริการ สถานที่รับจดทะเบียนบริษัทได้นะคะ มีหลายแห่งทีเดียว รวมทั้งที่สำนักงาน"เพื่อนงานและการบัญชี" โดยเราแค่เซ็นเอกสารเท่านั้น เราก็มีบริษัทแล้วคะ ราคาก็ไม่แพงคะ ถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน
รูปแบบธุรกิจแบบบริษัท ก็มีขั้นตอนยุ่งยากนิดหนึ่งคะ ก็คือต้องมีการเรียกประชุมกัน เพื่อตกลงและอนุมัติ ลองพิจารณาดูนะคะ ความน่าเชื่อถือ บริษัทจำกัด คือ องค์กรทางการค้ารูปแบบหนึ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับกิจการค้าที่มีขนาดกลางและขนาดใหญ่ และโดยเฉพาะในการประกอบกิจการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากต่างประเทศจะคุ้นเคยกับรูปแบบ บริษัท มากกว่าประเภท ห้างหุ้นส่วน
ลักษณะของบริษัทจำกัด มีลักษณะเป็นดังนี้ (ตามกฎหมายใหม่)
1. มีผู้ก่อการและผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
2. บริษัทจำกัดจะแบ่งทุนออกเป็นหุ้นมีมูลค่าหุ้นละเท่าๆ กัน
3. มูลค่าหุ้นจะต้องไม่ต่ำกว่า 5 บาท
4. ผู้ถือหุ้นจะรับผิดจำกัดในหนี้ของบริษัท ไม่เกินจำนวนเงินตามมูลค่าหุ้นที่ตนถืออยู่ และยังส่งใช้ไม่ครบเท่านั้น
5. ต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นนิติบุคคล
ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท
1.เตรียมชื่อจดทะเบียน เตรียมชื่อจดทะเบียนสำหรับตั้งบริษัท ไว้ประมาณ 3 ชื่อ เพื่อยื่นขอตรวจสอบเพื่อไม่ให้ซ้ำกันกับห้าง บริษัท หรือนิติบุคคลอื่นๆ
2.จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ โดยมีผู้ก่อการลงลายมือชื่อ เมื่อชื่อที่ได้จองไว้แล้ว เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและตอบรับว่า ไม่คล้ายหรือซ้ำกับนิติบุคคลอื่น อนุมัติให้ใช้ชื่อที่จองได้ ผู้ริเริ่มก่อตั้งบริษัทหรือที่เรียกว่า “ผู้เริ่มก่อการ” ซึ่งจะต้องมีอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป ต้องร่วมกันจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ ลงลายมือชื่อผู้ก่อการทุกคน
3.ประชุมจัดตั้งบริษัทจำกัด เมื่อผู้เริ่มก่อการจัดทำหนังสือบริคณห์เรียบร้อยแล้ว และได้มีการจองซื้อหุ้นทั้งหมดตามทุนจดทะเบียนครบตามจำนวน ให้ผู้ริเริ่มก่อการนัดผู้จองซื้อหุ้นทุกคนประชุมจัดตั้งบริษัทบริษัทฯ ในวันเดียวก็ได้ เช่น เช้า ทำหนังสือบริคณห์สนธิ บ่าย ประชุมตั้งบริษัท เป็นต้น การประชุม เพื่อทำความตกลงในเรื่องต่างๆ เช่น ตั้งข้อบังคับบริษัทให้สัตยาบันหรืออนุมัติค่าใช้จ่ายที่ผู้เริ่มก่อการได้ทำหรือออกไปแล้ว กำหนดจำนวนและสภาพของหุ้นบุริมสิทธิ์ (ถ้ามี) กำหนดจำนวนหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิที่จะออกทดแทนการลงทุนด้วยอย่างอื่นนอกจากเงิน เลือกแต่งตั้งกรรมการและกำหนดผู้ที่จะมีอำนาจกระทำการลงชื่อแทนบริษัท,แต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดเงินค่าจ้างต่างๆ เป็นต้น - จากนั้นผู้เริ่มก่อการมอบกิจการงานทั้งหมดให้คณะกรรมการบริษัท -คณะกรรมการต้องเรียกเก็บเงินค่าหุ้น โดยจะเรียกครั้งเดียวเต็มมูลค่าหรือเรียกเก็บครั้งแรกไม่น้อยกว่าหุ้นละ 25% ก็ได้ กรรมการบริษัทผู้ที่มีอำนาจจากการแต่งตั้งนำความนี้ไปจดทะเบียนจัดบริษัท หรือจะมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปกระทำแทนก็ได้
4.ผลการจดทะเบียนเมื่อจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ก็จะได้รับเอกสาร หนังสือสำคัญการจดทะเบียน หนังสือรับรอง หนังสือบริคณห์สนธิ และต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป
" สำนักงานกฎหมายแองเจิ้ล "ยินดีบริการรับจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัดให้แก่ท่านอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ตามหลักกฎหมายและบัญชีในอนาคต พร้อมกับค่าบริการในราคาเป็นกันเองดังนี้
บริการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัดพร้อมตรายาง 2 อัน สำหรับเงินทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1 ล้าน รวมทั้งค่าธรรมเนียม ราคา 10,600 บาท
ถ้าทุนจดทะเบียนเกิน 1 ล้าน คิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม ล้านละ 6,000 บาท (เศษของหนึ่งล้านคิดเป็น 1 ล้าน)
ถ้ารวมทั้งจดภาษีมูลค่าเพิ่ม ,ขอเลขผู้เสียภาษี และตรายาง 2 อัน ทั้งหมด ราคา 11,000 บาท
เตรียมเอกสารและข้อมูล เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง สามารถจัดเตรียม เอกสารและข้อมูลต่างๆ หรือ (พิมพ์แบบฟอร์มการเตรียมข้อมูลจดบริษัท) ดังนี้
1.ชื่อบริษัท 3 ชื่อ
2.วัตถุประสงค์ของกิจการ
3.ทุนจดทะเบียนบริษัท,แบ่งออกเป็นกี่หุ้น หุ้นละกี่บาท และชำระค่าหุ้นระยะแรก กี่บาท
4. หุ้นส่วนมีทุกหมดกี่คน แต่ละคนถือหุ้นคนละเท่าไหร
5.กรรมการมีกี่คน อำนาจกรรมการเซ็นแบบไหน เช่น เซ็นร่วมกันสองคน
6.ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ประกอบการ บ้านเลขที่ หมู่ที่ ถนน
7.รูปแบบตรายาง
8.สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านเฉพาะกรรมการ 4 ชุด (ถ้าจดในกรุงเทพฯ)ต่างจังหวัดเพิ่มอีก คนละ 2 ชุด
9.สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านผู้ถือหุ้นคนอื่น คนละ 1 ชุด
10.แผนที่,ชื่อผู้ติดต่อได้,เบอร์โทรศัพท์
ถ้าต้องการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมดังนี้
1. หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ประกอบการ (คลิกดูตัวอย่างหนังสือยินยอม)หรือสัญญาเช่า(กรณีเช่า)ที่ตั้งสถานประกอบการ
ถ้าเป็นสัญญาเช่า ต้องติดอากรให้เรียบร้อย (พันละ 1 บาท/เดือน/ปี) เช่น
เช่าเดือนละ 3,000 บาท ระยะเวลา 1 ปี ติดอากร 36 บาท
และต้องเช่าในนามบริษัทฯหรือห้างหุ้นส่วนเท่านั้น
2. หลักฐานแสดงกรรมสิทธิหรือความเป็นเจ้าของ ของผู้ให้ความยินยอมใช้สถานที่ประกอบการหรือให้เช่า
เช่น สัญญาซื้อขาย,โฉนดที่ดิน 3. สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ให้ความยินยอมหรือให้เช่า
4. สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของเจ้าบ้าน(กรณีที่มีเจ้าบ้านสถานที่ประกอบการไม่ตรงกับเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์)
5. แผนที่ตั้งสำนักงาน จำนวน 2 ชุด
6. ถ่ายรูปแสดงให้เห็นป้ายชื่อบริษัทและเลขที่สถานที่ตั้งสำนักงานและตัวอาคาร
และถ่ายห้องทำงาน Office อาจจะมีโต๊ะทำงาน โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซัก 2-3 รูป
เป็นไงคะ รูปแบบขององค์กรบริษัท น่าจดทะเบียนนะคะ
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
การจดทะเบียนย้ายสำนักงาน,ย้ายที่อยู่
สวัสดีคะ การจดทะเบียนย้ายสำนักงาน,ย้ายที่อยู่ |
.............. ภายหลังจากที่มีการประกอบกิจการซักระยะหนึ่ง อาจต้องขยับขยายกิจการ ก็อาจต้องมีการย้ายสำนักงานหรือที่อยู่ ที่ดีกว่าเดิม แต่มีหลายเหตุผลที่จำเป็นต้องย้ายสำนักงาน ลองดูคะว่า การย้ายสำนักงานต้องทำอย่างไรบ้าง
![]() การย้ายสำนักงานแห่งใหญ่หรือที่อยู่สำนักงานแห่งใหญ่หรือสาขา 1.การย้ายแบบไหน ท่านต้องมีสถานที่ประกอบการใหม่ที่แน่นอน และต้องดูว่าต้องการย้ายจากไหน ไปไหน เช่น ย้ายภายในเขตเดียว,ย้ายต่างเขตต่างพื้นที่,ย้ายข้ามจังหวัด เป็นต้น ถ้าจดภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ถ้าย้ายภายในเขตเดียวกัน ไม่ต้องแจ้งเขตที่ออกหรือแจ้งเข้า แต่ถ้าย้ายต่างเขตพื้นที่หรือย้ายข้ามจังหวัด ต้องมีการแจ้งเข้าแจ้งออกด้วย ตามเขตพื้นที่หรือตามจังหวัดนั้นด้วยคะ 2.เงื่อนไขการย้าย ถ้าจดเข้าภาษีมูลค่าเพิ่ม ท่านต้องแจ้งกรมสรรพากรก่อน ไม่น้อยกว่า 15 วัน แล้วค่อยไปจดเปลี่ยนแปลงที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มิฉะนั้นท่านต้องโดนปรับอาญา คะ หลักฐานและเอกสารในการขอจดทะเบียนย้ายสำนักงานและภาษีมูลค่าเพิ่ม เอกสารที่ต้องใช้ดังนี้ นิติบุคคล(บริษัท,ห้าง) 1.รายละเอียดหรือข้อมูลว่า ต้องการย้ายจากไหนไปไหน(พิมพ์ในกระดาษ A4) 2..สำเนาหนังสือรับรองพร้อมวัตถุประสงค์ ไม่เกิน 1 เดือน 4 ชุด 3. สำเนาใบสำคัญการจดทะเบียน เซ็นรับรองประทับตรา 4 ชุด 4..สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของกรรมการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการตามอำนาจในหนังสือรับรอง 4 ชุด 5.บัตรประจำตัวผู้เสียภาษี (ตัวจริง) ถ้าหายต้องแจ้งความ 6.สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ (กรณีเป็นบริษัท)และบัญชีผู้หุ้น (บอจ.5) 1 ชุด 7.สำเนารายงานการประชุมหรือข้อบังคับ(กรณีเป็นบริษัท) 1 ชุด ถ้าในกรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต้องมีเอกสารเพิ่มเติมดังนี้ 8.สำเนา ภพ.01 (จด Vat ครั้งแรก) 9.สำเนา ภพ.09 (การจดเปลี่ยนแปลงต่างๆ) (ถ้ามี) 10.ภพ.20 (ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)(ตัวจริง) 11.สำเนาสัญญาเช่า(กรณีเช่า) หรือ หนังสือยินยอมที่ตั้งประกอบการ พร้อมหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ เช่น สัญญาซื้อขาย,โฉนดที่ดิน 3 ชุด สามารถดูตัวอย่างหนังสือยินยอมได้ที่นี่ (คลิกดูตัวอย่างหนังสือยินยอม) 12. สำเนาทะเบียนบ้านสถานที่ประกอบการ 3 ชุด 13.สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ให้เช่าหรือผู้ให้ความยินยอมแล้วแต่กรณี 3 ชุด ถ้าเช่า ต้องเช่าในนามนิติบุคคล(บริษัท,ห้าง)และติดอากรให้เรียบร้อย(1,000ละ1บาท/เดือน/ปี) 14.แผนที่ตั้งและภาพถ่ายแสดงให้เห็นป้ายชื่อบริษัทและเลขที่สถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ 4 ชุด 15.-หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (กรณีไม่อาจมาด้วยตนเอง)(เตรียมให้) 16.แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภพ.09) (ผู้จดทะเบียนเตรียมให้) อนึ่ง ในการจดทะเบียนย้ายภาษีมูลค่าเพิ่ม ในวันจดทะเบียน ต้องนำเอกสารตัวจริงทุกอย่างไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย ดังนี้ 1.หนังสือรับรองพร้อมวัตถุประสงค์ 2.หนังสือบริคณห์สนธิ (กรณีเป็นบริษัท) 3.รายงานการประชุม(กรณีเป็นบริษัท) 4.บัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของกรรมการ,หุ้นส่วนผู้จัดการ 5.บัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของเจ้าบ้าน 6.สัญญาซื้อขายหรือโฉนดที่ดิน 7.ทะเบียนบ้านสถานที่ประกอบการ สถานที่ยื่นคำร้องขอจดย้ายสำนักงานและทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในเขตกรุงเทพมหานคร -ให้ยื่นที่ฝ่ายทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำนักงานภาษีสรรพากรเขตพื้นที่ (สพท.) ทุกแห่ง -ยื่นขอจดทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ททางเว็บไซด์สรรพรกร http://rdserver.rd.go.th/online/regFrameset5.html จังหวัดอื่น -ให้ยื่นจดทะเบียนที่ตั้งสรรพากรอำเภอหรือให้ยื่นที่สำนักงานสรรพากรจังหวัด -ยื่นขอจดทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ททางเว็บไซด์สรรพรกร http://rdserver.rd.go.th/online/regFrameset5.html ย้ายสรรพากรแล้ว -ในการจดทะเบียนย้ายภาษีมูลค่าเพิ่ม มีการแจ้งเข้าแจ้งออกแล้ว หลังผ่านไปอีก 15 วัน (ตามที่แจ้งใน ภพ.09) เราต้องไปจดทะเบียนย้ายสำนักงานแห่งใหญ่ กับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้เรียบร้อย |
ความผิดฐานลักทรัพย์และความผิดฐานยักยอกทรัพย์มีความแตกต่างกันอย่างไร
เนื่องจากความผิดฐาน ลักทรัพย์ และความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ นั้น มีหลักเกณฑ์ใกล้เคียงกันมาก แต่มีข้อสังเกตในสาระสำคัญ ซึ่งพอแยกข้อแตกต่างได้ดังนี้
ลักทรัพย์
1. ทรัพย์ที่ถูกลักต้องอยู่ในความครอบครอง ของผู้อื่นในขณะเอาไป
2. ผู้กระทำมีเจตนาทุจริตก่อนเอาทรัพย์ไป จากความครอบครองของผู้อื่น
3. เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
4. กรณีของตกหายโดยเจ้าของยังไม่สละการ ครอบครอง ถ้าเอาไปโดยรู้หรือมีเหตุอัน ควรรู้ว่าเจ้าของยังติดตามอยู่ เป็นลักทรัพย์
ยักยอกทรัพย์
1. ทรัพย์ต้องอยู่ในความครอบครอง ของผู้ยักยอกแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเสีย
2. ทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำ ก่อนแล้วมีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ ภายหลัง
3. เป็นความผิดอันยอมความได้
4.กรณีของตกหาย ถ้าเก็บไปโดยไม่ทราบว่าเจ้าของกำลังติดตามหรือมีเหตุอันควรจะรู้ เป็น ยักยอกทรัพย์
ปัญหาอยู่ที่ การครอบครองทรัพย์ ซึ่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 บัญญัติว่า บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้สิทธิครอบครอง และ มาตรา 1368 บัญญัติว่า การโอนการครอบครองย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง
คำว่า ครอบครอง หมายถึงการที่บุคคลมีอำนาจอันแท้จริงเหนือทรัพย์ เป็นอำนาจที่จะกระทำแก่ทรัพย์อย่างแท้จริงได้ตามอำเภอใจ แต่บุคคลดังกล่าวจะต้องมีเจตนาที่จะครอบครองทรัพย์นั้นด้วย ถ้าไม่มีเจตนาจะครอบครองทรัพย์ก็ถือไม่ได้ว่าเขามีอำนาจเหนือทรัพย์
อย่างไรเรียกว่าครอบครอง และเมื่อไรจึงจะพ้นจากการครอบครอง การครอบครองในทางอาญา อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประการ คือ
1. เจ้าของเป็นผู้ครอบครองเอง
2. ครอบครองโดยได้รับมอบหมายจากเจ้าของหรือจากตัวแทน
3. ครอบครองโดยปริยาย
ข้อ 1. เจ้าของเป็นผู้ครอบครองเอง แม้ทรัพย์ได้พ้นไปจากการครอบครองชั่วคราว เช่นวางทรัพย์ลืมทิ้งไว้ ถือว่าเจ้าของยังไม่สละการครอบครอง อำนาจการครอบครองอันแท้จริงยังอยู่กับเจ้าของ ผู้ใดเอาทรัพย์นั้นไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
การมีกรรมสิทธิ์กับการมีการครอบครองนั้นไม่เหมือนกัน บางกรณีมีกรรมสิทธิ์แต่ไม่ได้ครอบครองก็มี เช่นของนั้นฝากไว้กับผู้อื่น แต่ถ้าได้สละกรรมสิทธิ์แล้วการครอบครองก็ขาดไปในตัว เช่น ซื้อสุรามาดื่มหมดขวด แล้วโยนขวดทิ้งไป เป็นการสละกรรมสิทธิ์และในขณะนั้นก็เป็นการสละการครอบครองไปด้วย แม้เจ้าของจะยังยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าคนอื่นมาเก็บเอาไป ก็ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ข้อ 2. การครอบครองโดยได้รับมอบหมายจากเจ้าของหรือจากตัวแทน เพียงแต่เจ้าของทรัพย์ให้ถือทรัพย์ชั่วคราวโดยมิได้มอบหมายความครอบครองให้ ต้องถือว่าเป็นการครอบครองอยู่แก่เจ้าของทรัพย์ เช่นการที่เจ้าของบ้านวานให้ผู้อื่นเฝ้าบ้าน แต่ไม่ได้มอบกุญแจห้องไว้ให้ ถ้าผู้เฝ้าบ้านเอาทรัพย์ในห้องไป เป็นลักทรัพย์ เพราะมิได้มอบการครอบครองอย่างแท้จริง หรือ กรณีเจ้าของทรัพย์ให้ลูกจ้างนำสินค้าไปส่งลูกค้าเพียงอย่างเดียว โดยมีการโอนเงินค่าสินค้ากันเอง ลูกจ้างได้เอาสินค้าดังกล่าวไป เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะเจ้าของทรัพย์ยังมิได้สละการครอบครองเพียงแต่ให้ลูกจ้างยึดถือไว้ชั่วคราวเท่านั้น
ข้อ 3. การครอบครองโดยปริยาย หมายถึงเจ้าของมิได้มอบการครอบครองในตัวทรัพย์นั้นให้โดยตรง แต่ทรัพย์นั้นตกมาอยู่ในความครอบครองโดยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่น
เพื่อนมาที่บ้านแล้วลืมไฟแช๊คไว้ หากคนใช้เอาไปโดยทุจริต ย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เพราะเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่อยู่ในความครอบครองของเรา ซึ่งได้ครอบครองแทนเพื่อนไว้ แต่ถ้าเราเอาไฟแช๊คนั้นไปเสียเองโดยทุจริต ไม่คืนให้เพื่อนเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ เพราะเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปจากความครอบครองของเราเอง
ลักทรัพย์
1. ทรัพย์ที่ถูกลักต้องอยู่ในความครอบครอง ของผู้อื่นในขณะเอาไป
2. ผู้กระทำมีเจตนาทุจริตก่อนเอาทรัพย์ไป จากความครอบครองของผู้อื่น
3. เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
4. กรณีของตกหายโดยเจ้าของยังไม่สละการ ครอบครอง ถ้าเอาไปโดยรู้หรือมีเหตุอัน ควรรู้ว่าเจ้าของยังติดตามอยู่ เป็นลักทรัพย์
ยักยอกทรัพย์
1. ทรัพย์ต้องอยู่ในความครอบครอง ของผู้ยักยอกแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเสีย
2. ทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำ ก่อนแล้วมีเจตนาทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ ภายหลัง
3. เป็นความผิดอันยอมความได้
4.กรณีของตกหาย ถ้าเก็บไปโดยไม่ทราบว่าเจ้าของกำลังติดตามหรือมีเหตุอันควรจะรู้ เป็น ยักยอกทรัพย์
ปัญหาอยู่ที่ การครอบครองทรัพย์ ซึ่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 บัญญัติว่า บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้สิทธิครอบครอง และ มาตรา 1368 บัญญัติว่า การโอนการครอบครองย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง
คำว่า ครอบครอง หมายถึงการที่บุคคลมีอำนาจอันแท้จริงเหนือทรัพย์ เป็นอำนาจที่จะกระทำแก่ทรัพย์อย่างแท้จริงได้ตามอำเภอใจ แต่บุคคลดังกล่าวจะต้องมีเจตนาที่จะครอบครองทรัพย์นั้นด้วย ถ้าไม่มีเจตนาจะครอบครองทรัพย์ก็ถือไม่ได้ว่าเขามีอำนาจเหนือทรัพย์
อย่างไรเรียกว่าครอบครอง และเมื่อไรจึงจะพ้นจากการครอบครอง การครอบครองในทางอาญา อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประการ คือ
1. เจ้าของเป็นผู้ครอบครองเอง
2. ครอบครองโดยได้รับมอบหมายจากเจ้าของหรือจากตัวแทน
3. ครอบครองโดยปริยาย
ข้อ 1. เจ้าของเป็นผู้ครอบครองเอง แม้ทรัพย์ได้พ้นไปจากการครอบครองชั่วคราว เช่นวางทรัพย์ลืมทิ้งไว้ ถือว่าเจ้าของยังไม่สละการครอบครอง อำนาจการครอบครองอันแท้จริงยังอยู่กับเจ้าของ ผู้ใดเอาทรัพย์นั้นไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
การมีกรรมสิทธิ์กับการมีการครอบครองนั้นไม่เหมือนกัน บางกรณีมีกรรมสิทธิ์แต่ไม่ได้ครอบครองก็มี เช่นของนั้นฝากไว้กับผู้อื่น แต่ถ้าได้สละกรรมสิทธิ์แล้วการครอบครองก็ขาดไปในตัว เช่น ซื้อสุรามาดื่มหมดขวด แล้วโยนขวดทิ้งไป เป็นการสละกรรมสิทธิ์และในขณะนั้นก็เป็นการสละการครอบครองไปด้วย แม้เจ้าของจะยังยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าคนอื่นมาเก็บเอาไป ก็ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ข้อ 2. การครอบครองโดยได้รับมอบหมายจากเจ้าของหรือจากตัวแทน เพียงแต่เจ้าของทรัพย์ให้ถือทรัพย์ชั่วคราวโดยมิได้มอบหมายความครอบครองให้ ต้องถือว่าเป็นการครอบครองอยู่แก่เจ้าของทรัพย์ เช่นการที่เจ้าของบ้านวานให้ผู้อื่นเฝ้าบ้าน แต่ไม่ได้มอบกุญแจห้องไว้ให้ ถ้าผู้เฝ้าบ้านเอาทรัพย์ในห้องไป เป็นลักทรัพย์ เพราะมิได้มอบการครอบครองอย่างแท้จริง หรือ กรณีเจ้าของทรัพย์ให้ลูกจ้างนำสินค้าไปส่งลูกค้าเพียงอย่างเดียว โดยมีการโอนเงินค่าสินค้ากันเอง ลูกจ้างได้เอาสินค้าดังกล่าวไป เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะเจ้าของทรัพย์ยังมิได้สละการครอบครองเพียงแต่ให้ลูกจ้างยึดถือไว้ชั่วคราวเท่านั้น
ข้อ 3. การครอบครองโดยปริยาย หมายถึงเจ้าของมิได้มอบการครอบครองในตัวทรัพย์นั้นให้โดยตรง แต่ทรัพย์นั้นตกมาอยู่ในความครอบครองโดยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่น
เพื่อนมาที่บ้านแล้วลืมไฟแช๊คไว้ หากคนใช้เอาไปโดยทุจริต ย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เพราะเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่อยู่ในความครอบครองของเรา ซึ่งได้ครอบครองแทนเพื่อนไว้ แต่ถ้าเราเอาไฟแช๊คนั้นไปเสียเองโดยทุจริต ไม่คืนให้เพื่อนเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ เพราะเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปจากความครอบครองของเราเอง
ลักษณะอย่างไรเป็นการกระทำความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
ผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ถ้าขู่จะทำอันตรายแก่ทรัพย์ในทันทีและได้ทรัพย์ไปในขณะนั้นไม่เป็นชิงทรัพย์ แต่เป็นกรรโชกทรัพย์ เพราะมิใช่ขู่จะทำอันตรายแก่บุคคล
3. สิ่งที่ยอมให้หรือยอมจะให้ ไม่จำกัดเฉพาะทรัพย์สิน แต่รวมถึงประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินด้วย
4. การใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตราย ไม่จำกัดเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น แต่รวมถึงชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามด้วย
5. ขู่ให้ส่งบุตรสาวไปเป็นภรรยา ไม่ใช่ประโยชน์ในลักษณะเป็นทรัพย์สินไม่ผิดฐานกรรโชก แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพ ข่มขืนใจให้ได้มาซึ่งประโยชน์ที่ไม่ใช่ทรัพย์สินไม่เป็นความผิดฐานกรรโชก ดูฎีกาที่ 1147/2513
6. เมื่อผู้ถูกข่มขืนใจยอมให้หรือยอมจะให้ตามที่ถูกข่มขืนใจแล้ว ย่อมเป็นความผิดสำเร็จทันที แม้ผู้ถูกข่มขืนใจจะยังไม่ได้รับประโยชน์นั้นมาก็ตาม แต่ถ้าผู้ถูกข่มขืนใจไม่ยอมให้หรือไม่ยอมจะให้ ไม่ว่าเพราะเหตุใด เช่นไม่กลัว เป็นความผิดพยายามกรรโชก แม้ผู้ถูกข่มขืนใจยอมให้เพราะตำรวจให้นำไปให้เพื่อเป็นพยานหลักฐานในการจับกุมผู้ข่มขู่ก็ตาม ก็เป็นความผิดเพียงพยายามกรรโชกทรัพย์ แต่ถ้าผู้เสียหายรู้ตัวว่าจะมีคนร้ายมาขู่เรียกเงิน จึงได้แจ้งความเจ้าพนักงานตำรวจไว้ก่อน เจ้าพนักงานตำรวจได้มาอารักขาอยู่แล้ว จึงเข้าจับกุมจำเลย ดังนี้ย่อมไม่ผิดฐานกรรโชก แต่ศาลลงโทษความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ตามฎีกาที่ 396/2503
7. การข่มขู่ว่าจะให้ตำรวจจับผู้ที่กระทำผิดต่อเรา เช่น มีคนมาลักสิ่งของของเราไป แล้วเราขู่ว่าให้ผู้นั้นใช้ราคาสิ่งของและเรียกค่าเสียหาย เป็นสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำได้ ไม่เป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์เพราะเป็นการข่มขู่จะใช้สิทธิตามกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิของตนโดยสุจริต ดูฎีกาที่ 2688/2530 , 5599/2531 แต่ถ้าเขาไม่ได้กระทำอะไรต่อเราเลย ถ้าไปขู่เขาโดยเจตนาไม่สุจริตย่อมเป็นความผิดกรรโชกทรัพย์ เพราะไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเขากระทำผิดต่อเรา จึงไปขู่เข็ญ เป็นการสำคัญผิด ยังไม่เป็นความผิดกรรโชกทรัพย์เช่นกัน
8. แม้การขู่เข็ญนั้นจะเกิดจากการกระทำที่ร่วมกันฉ้อโกงมิได้ตั้งใจจะขู่เข็ญอย่างจริงจังก็ตาม หากผู้ถูกขู่เข็ญไม่ทราบความจริง ผู้ขู่เข็ญก็ยังต้องมีความผิดฐานกรรโชก ดูฎีกาที่ 1278/2503
9. การที่เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ให้เขาหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน ย่อมเป็นความผิดฐานกรรโชกด้วย แต่ความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 148 มีโทษ สูงกว่า ส่วนเจ้าพนักงานกระทำผิดตาม มาตรา 149 เป็นการกระทำในอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ ไม่ผิดกรรโชกทรัพย์ ด้วย
การจดเลิกบริษัทและชำระบัญชีบริษัท
การจดเลิกบริษัทหรือการจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีบริษัท/หลักฐานและค่าธรรมเนียม :
|
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
นิติกรรมสัญญา
นิติกรรมสัญญา
1. ซื้อขาย2. แลกเปลี่ยน
3. ให้
4. เช่าทรัพย์
5. เช่าซื้อ
6. จ้างแรงงาน
7. จ้างทำของ
8. รับขน
9. ยืม
10. ฝากทรัพย์
11. ค้ำประกัน
12. จำนอง
13. จำนำ
14. เก็บของในคลังสินค้า
15. ตัวแทน
16. นายหน้า
17. ประนีประนอมยอมความ
18. ตั๋วเงิน
19. หุ้นส่วนบริษัท
รูปแบบโครงสร้างของสัญญาทั่วไป
- สัญญาซื้อขายที่ดิน
- สัญญาเช่าที่ดิน
- สัญญากู้ยืมเงิน
- หนังสือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง
- หนังสือสัญญานายหน้า
เรื่อง หลักฐานที่จะต้องนำไปติดต่อทำนิติกรรมที่สำนักงานที่ดิน
เมื่อท่านมีความประสงค์จะไปติดต่อกับสำนักงานที่ดินจังหวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดสาขา หรือสำนักงานที่ดินอำเภอ เพื่อขอทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ซื้อขาย ขายฝาก ให้จำนอง ฯลฯ พนักงานที่จะต้องสอบสวนถึงสิทธิ ความสามารถของบุคคลรวมตลอดถึงความสมบูรณ์แห่งนิติกรรมและเรียกหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและคู่กรณีประกอบการพิจารณา หลักฐานต่างๆ ดังกล่าวจึงมีส่วนสำคัญที่จะให้การดำเนินงานจดทะเบียนช้าหรือรวดเร็วได้ เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วให้แก่ประชาชนผู้มีความประสงค์จะมาขอจดทะเบียน หรือขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน กรมที่ดินจึงได้จัดทำคำแนะนำประชาชนในการเตรียมหลักฐานต่างๆ เพื่อไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดสาขา หรือสำนักงานที่ดินอำเภอขึ้นแล้วแต่กรณี
การขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่มักจะมีคู่กรณี 2 ฝ่าย ส่วนการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน เช่น ขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นเรื่องที่ฝ่ายผู้ขอดำเนินการฝ่ายเดียว ฉะนั้นหลักฐานที่จะนำไปประกอบการสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ ตามฐานะของคู่กรณีอันได้แก่ "ผู้โอน" ฝ่ายหนึ่ง "ผู้รับโอน" อีกฝ่ายหนึ่งดังนี้
ผู้โอน หมายถึง ผู้ถือกรรมสิทธิในที่ดินหรือผู้ทรงสิทธิอื่นๆ ซึ่งมีความประสงค์จะโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิ์ในที่ดินไปยังบุคคลอื่นซึ่งเรียกว่า ผู้รับโอน
สำหรับกรณีนี้มีหลักทั่วๆไป เกี่ยวกับหลักฐานที่จะนำไปประกอบการโอนไม่ว่าจะโอน ในประเภทใดๆ เช่น ในฐานะผู้ขาย ผู้ให้ ฯลฯ จะต้องนำหลักฐานเหล่านี้ไปประกอบการสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ คือ
1. บุคคลธรรมดา
- โฉนดที่ดิน หรือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์
- บัตรประจำตัว
- ถ้ามีการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล ให้นำหลักฐานไปแสดงด้วย
- หนังสือแสดงความยินยอมให้ทำนิติกรรมของคู่สมรส ในกรณีขาดจากการสมรสโดยหย่า ต้องมีหลักฐานการหย่า
- สัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญามัดจำ ( ถ้ามี )
- ถ้าไม่ไปดำเนินการด้วยตัวเอง ต้องทำหนังสือมอบอำนาจและต้องนำบัตรประจำตัวผู้มอบและผู้รับมอบอำนาจไปด้วย
- การเขียนข้อความในหนังสือมอบอำนาจ ให้ปฏิบัติตามคำเตือนด้านหลังแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจของกรมที่ดิน
2. นิติบุคคล
- โฉนดที่ดิน หรือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์
- หลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนนิติบุคคลพร้อมตัวอย่างลายมือชื่อของผู้มีอำนาจลงนาม
- รายงานการประชุมของนิติบุคคล ในกรณีที่ต้องมี
- หนังสือบริคณห์สนธิ ตราสารจัดตั้ง หรือเอกสารการจัดตั้งนิติบุคคล นั้น
ผู้รับโอน ได้แก่ ผู้รับสัญญาจากผู้โอน เช่น ผู้ซื้อ ผู้รับให้ เป็นต้น
1. บุคคลธรรมดา
1.1 บุคคลสัญชาติไทย ขอซื้อที่ดินต้องนำหลักฐานดังนี้ คือ
- บัตรประจำตัว
- ทะเบียนบ้าน (ท.ร.14 ) ที่มีชื่อบุคคลในครอบครัวทุกคนถ้าผู้ซื้อทำการสมรสแล้ว และต่างถือภูมิลำเนาแยกกัน ให้นำทะเบียนบ้านของคู่สมรส ที่ปรากฏชื่อผู้อยู่อาศัยในทะเบียนบ้านนั้นทั้งหมดไปประกอบด้วย
- ในกรณีที่ย้ายภูมิลำเนามาหลายแห่ง ถ้าสามารถจะนำทะเบียนบ้านที่ย้ายออกไปแสดงได้ก็ให้นำไปด้วย
- ถ้ามีคู่สมรสที่เคยมีสัญชาติอื่นและได้อนุญาต ให้แปลงสัญชาติ คืนสัญชาติหรือถือสัญชาติตามคู่สมรสให้นำหลักฐานนั้นๆ แล้วแต่กรณีไปประกอบเช่นกัน
- ถ้าได้ทำการสมรสหรือหย่าแล้ว ให้นำทะเบียนนั้นๆไปแสดง
- ในกรณีที่มีคู่สมรส ต้องมีหนังสือแสดงความยินยอมของคู่สมรสให้ทำนิติกรรม
- ถ้าได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล ต้องมีหลักฐานการอนุญาตนั้น
- ถ้าผู้ซื้อยังไม่บรรลุนิติภาวะ และมีบิดา มารดา หรือบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวให้นำหลักฐานทางการศึกษา หลักฐานการประกอบอาชีพของบิดามารดา กับทั้งต้องมีพยานบุคคลอย่างน้อย 2 คนไปประกอบด้วย
1.2 คนสัญชาติไทย ซึ่งได้หย่าหรือเลิกร้างกับคู่สมรสเดิมที่เป็นคนต่างด้าวแล้ว จะต้องนำหลักฐานตามที่กล่าวใน ข้อ 1 ไปประกอบด้วย ยังจะต้องมีหลักฐานเหล่านี้อีกคือ
- ทะเบียนหย่า หรือหลักแสดงว่าขาดจากการสมรส
- หลักฐานการประกอบอาชีพของผู้ซื้อ
1.3 คนสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ หลักฐานที่ต้องนำไป คือ
- หนังสือสำคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย
- บัตรประจำตัว
- ทะเบียนบ้าน
- หนังสืออนุญาตให้เปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล
2. นิติบุคคล
บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น
- เอกสารการก่อตั้งนิติบุคคล
- หนังสือสำคัญการให้อำนาจทำการแทนนิติบุคคล
- หนังสือบริคณห์สนธิ
- บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นโดยอสดงสัญชาติและจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นทุกคนที่นายทะเบียนพาณิชย์รับรองแล้วในปัจจุบัน
- บัตรประจำตัวของกรรมการหรือผู้แทนนิติบุคคล
ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (เปลี่ยนแปลง เลิก )
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
บริษัท ห้างร้าน มีมูลค่าฐานภาษีเกิน 1,200,000 บาทต่อปีขึ้นไป ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ต้องภาษีขายหักภาษีซื้อในอัตราร้อยละ 7 มูลค่าฐานภาษี หมายถึง รายได้จากการขายสินค้าหรือใช้บริการ) ผู้ประกอบการมีรายรับถึงเกณฑ์ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน หรือผู้ประกอบการรายใดมีรายรับยังไม่ถึงเกณฑ์ มีความประสงค์ขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้
เอกสารประกอบการขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ต้องมีหลักฐานเพิ่ม
บริษัท ห้างร้าน มีมูลค่าฐานภาษีเกิน 1,200,000 บาทต่อปีขึ้นไป ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ต้องภาษีขายหักภาษีซื้อในอัตราร้อยละ 7 มูลค่าฐานภาษี หมายถึง รายได้จากการขายสินค้าหรือใช้บริการ) ผู้ประกอบการมีรายรับถึงเกณฑ์ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน หรือผู้ประกอบการรายใดมีรายรับยังไม่ถึงเกณฑ์ มีความประสงค์ขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้
เอกสารประกอบการขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
การจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ( ผู้ประกอบการต้องขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่มีรายรับถึงเกณฑ์ )
หลักฐานและเอกสารประกอบการจดทะเบียน
หลักฐานและเอกสารประกอบการจดทะเบียน
- ยื่นแบบ ภ.พ.01 หรือ ภ.ธ.01 จำนวน 5 ฉบับ ( ห้ามถ่ายเอกสาร )
- สำเนาประจำตัวผู้เสียภาษี
- หนังสือรับรองจากกระทรวงพาณิชย์ ( ที่ออกไม่เกิน 6 เดือน ) พร้อมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อบังคับและรายละเอียดวัตถุประสงค์
- ใบทะเบียนพาณิชย์ ( กรณีบุคคลธรรมดา )
- สำเนาบัตรประชาชน , ทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อ
- สัญญาเช่า หรือหนังสือยินยอมของเจ้าของอาคาร พร้อมทะเบียนบ้านสถานประกอบการและหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของผู้ให้เช่าหรือให้ความยินยอม
- หนังสือมอบอำนาจ ( ติดอากร 10 บาท ) และสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
- แผนผังที่ตั้งสถานประกอบการ 3 ฉบับ
- ภาพถ่ายสถานประกอบการซึ่งติดป้ายชื่อแล้ว ( ต้องมองเห็นเลขที่ตั้งสถานประกอบการด้วย )
- จดทะเบียนล่าช้า ต้องมีหนังสือชี้แจง งบดุล งบกำไรขาดทุน
- มีมูลค่าฐานภาษีเกิน 1,2000,000 บาทต่อปีขึ้นไป ต้องภาษีขายหักภาษีซื้อ ในอัตราร้อยละ 7 ( ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 237 พ.ศ.2534 ) ( มูล ค่าฐานภาษี หมายถึง รายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ )
- ผู้ประกอบการมีรายรับถึงเกณฑ์ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน ตาม ม.85/1
- ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรต้องมีตัวแทนรับผิดชอบในการจด ทะเบียน ( ตาม ม.85/2 )
การแจ้งเปลี่ยนแปลง ( ผู้ประกอบการต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีการเปลี่ยนแปลง )
หลักฐานประกอบการแจ้งเปลี่ยนแปลง
- ยื่นแบบ ภ.พ.09 หรือ ภ.ธ.09 จำนวน 4 ฉบับ ( ห้ามถ่ายเอกสาร )
- สำเนาทะเบียน ( ภ.พ.20,21หรือ ภ.ธ.20 )
- สำเนา ภ.พ.01 หรือ ภ.ธ.01 แบบจดทะเบียนเดิม และภ.พ.09 , ภ.ธ.09 ( ถ้ามี )
- หนังสือรับรองกระทรวงพาณิชย์ ( ที่ออกไม่เกิน 6 เดือน ) กรณีเป็นนิติบุคคล
- สำเนาบัตรประชาชน , ทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
- หนังสือสำคัญการเปลี่ยนชื่อตัว - สกุล ( กรณีขอเปลี่ยนชื่อตัว - ชื่อสกุล )
- หนังสือสัญญาเช่า หรือหนังสือยินยอมให้ใช้สถานประกอบการ พร้อมทะเบียนบ้านของอาคารแห่งใหม่ และ หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของอาคารของผู้ให้เช่าหรือผู้ให้ความยินยอม
- หนังสือมอบอำนาจ ( ติดอากร 10 บาท ) และสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ )
- แผนผังที่ตั้งสถานประกอบการ 3 ฉบับ
การแจ้งขอเพิ่ม,ลดสาขา ( ผู้ประกอบการต้องแจ้งก่อนวันเปิดไม่น้อยกว่า 15 วัน )
หลักฐานประกอบการขอเพิ่มสาขา
- ยื่นแบบ ภ.พ.09 หรือ ภ.ธ.09 จำนวน 4 ฉบับ ( ห้ามถ่ายเอกสาร )
- สำเนา ภ.พ.01,ภ.ธ.01 ( ภ.พ.09,ภ.ธ.09 ) และใบทะเบียน ภ.พ.20,21 หรือ ภ.ธ.20 ของสำนักงานใหญ่
- สำเนาบัตรประชาชน , ทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
- หนังสือรับรองกระทรวงพาณิชย์ (ฤ ที่ออกไม่เกิน 6 เดือน )
- สัญญาเช่า หรือหนังสือยินยอมให้ใช้อาคารสถานที่ พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านของสาขาที่เพิ่ม หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของอาคารของผู้ให้เช่าหรือให้ความยินยอม
- หนังสือมอบอำนาจ ( ติดอากร 10 บาท ) , พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
- แผนที่ตั้งสถานประกอบการ
ต้องมีหลักฐานเพิ่ม
- นำใบทะเบียน (ภ.พ.20,21 หรือ ภ.ธ.20 ) ของสาขาที่ลด มาคืน
- สำเนาใบเสร็จและแบบแสดงรายการ ( ภ.พ.30,31 หรือ ภ.ธ.40 ) 2 ปีสุดท้ายจนถึงวันลดสาขา
การแจ้งย้ายเข้า - ออก ( ผู้ประกอบการต้องแจ้งย้ายก่อนวันย้ายไม่น้อยกว่า 15 วัน )
หลักฐานประกอบการแจ้งย้าย - ยื่นแบบ ภ.พ.09 หรือ ภ.ธ.09 จำนวน 4 ฉบับ ( ห้ามถ่ายเอกสาร )
- สำเนาทะเบียนบ้าน ( ภ.พ.20,ภ.พ.21 หรือ ภ.ธ.20 ) ฉบับจริงคืนพร้อมเอกสารย้ายเข้า
- สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
- หนังสือรับรองกระทรวงพาณิชย์ ( ที่ออกไม่เกิน 6 เดือน ) ย้ายเข้าต้องใช้หนังสือบริคณห์สนธิ และ ข้อบังคับ
- สำเนาแบบ ภ.พ.01 , ภ.ธ.01 และ ภ.พ.09 , ภ.ธ.09
- สัญญาเช่าหรือหนังสือยินยอมให้ใช้อาคารสถานที่พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านของอาคารแห่งใหม่ และ หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของอาคารของผู้ให้เช่าหรือผู้ให้ความยินยอม
- ถ้าแจ้งย้ายต่าง สพท. หรือต่างจังหวัดจะต้องนำใบเสร็จการชำระภาษี ( ภ.พ.30,31 หรือ ภ.ธ.40 ) พร้อมสำเนาแบบย้อน 2 ปี จนถึงปัจจุบันมาแสดง
- หนังสือมอบอำนาจ ( ติดอากร 10 บาท ) และสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
- แผนผังที่ตั้งสถานประกอบการ 3 ฉบับ
- ภาพถ่ายสถานประกอบการซึ่งติดป้ายชื่อแล้ว กรณีย้ายเข้า
การแจ้งเลิก
ภาษีมูลค่า, ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ผู้ประกอบการต้องแจ้งเลิกภายใน 15 วัน นับแต่วันเลิก)
หลักฐานประกอบการแจ้งเลิก - ยื่นแบบ ภ.พ.09 หรือ ภ.ธ.09 จำนวน 4 ฉบับ ( ห้ามถ่ายเอกสาร )
- ใบทะเบียน ( ภ.พ.20,21 หรือ ภ.ธ.20 ) ฉบับจริงมาคืน
- สำเนา ภ.พ.01, ภ.ธ.01, ภ.ธ.09 ( ถ้ามี )
- สำเนาใบเสร็จและแบบแสดงรายการ ( ภ.พ.30,31 หรือ ภ.ธ.40 )
- สำเนาใบเสร็จและแบบแสดงรายการ ( ภงด.94, 90 หรือ ภงด.50,51)
- รายงานมูลค่าฐานภาษี, บัญชีคุมสินค้า, บัญชีคุมวัตถุดิบ, รายงานสินค้าคงเหลือ ณ วันเลิก
- รายงานภาษีซื้อ, ภาษีขาย, ใบกำกับภาษีซื้อ, ใบกำกับภาษีขาย
- หนังสือรับรองการเลิกนิติบุคคลจากกระทรวงพาณิชย์ ( ต้องแจ้งกระทรวงพาณิชย์ก่อน )
- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
- สำเนาทะเบียนสมรส ( กรณีบุคคลธรรมดา )
- หนังสือมอบอำนาจ ( ติดอากร 10 บาท ) พร้อมสำเนาบัตรผู้มอบอำนาจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)